Social Icons

บ้านครูภาษาไทย "(นู๋มาน นู๋นัตตี้ นู๋ยู และนู๋ฟาส)"

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฟัง







ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฟัง






การฟัง  
               
การฟังเป็นทักษะการใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติให้ล้นมาคนละหนึ่งลิ้นแต่ให้หูมาคนละสองข้าง แสดงว่า มนุษย์ต้องฟังมากกว่าพูดถึงสองเท่านักปราชญ์ชาวกรีกเป็นผู้กล่าวไว้  และผลของการวิจัยก็สอดคล้องกัน เด็กในชั้นประถมศึกษาใช้เวลาฟังมากกว่าร้อยละ ๕๐(กรองทอง ประจักจิต) เด็กในชั้นมัธยมศึกษาใช้เวลาฟังร้อยละ ๔๘(ทัศนี ศุภเมธี) ผู้ใหญ่ใช้เวลาสำหรับการฟังร้อยละ ๔๕(วันทิพย์)
การฟังมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
                การฟังเป็นทักษะที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต นพ.เมืองทอง แขมมณี ได้กล่าวไว้ว่า
                ฟังอะไรให้ชัดถนัดหู                                           ฟังให้รู้ให้เป็นเน้นความหมาย        
                ฟังให้ถูกก่อนตอบโดยแยบคาย                             ฟังด้วยกายใจถึงกันนั่นฟังดี             
                ฟังอะไรใคร่ครวญด้วยจิตว่าง                                ฟังทุกอย่างฟังทุกคนจนถ้วนถี่        
                ฟังแล้วท้วงติชมเพื่อเกื้อวจี                                     ฟังเช่นนี้ล้วนเลอเลิศเกิดปัญญา
                ในชีวิตประจำวันตลอด ๒๔ ชั่วโมง เราสามารถหยุดพูด หยุดอ่าน หยุดเขียนได้ แต่ไม่สามารถหยุดฟังได้ ดังนั้นจึงต้องรู้จักกลั่นกรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะมีทั้งสิ่งที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งที่ไร้คุณค่า การฟังที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคม คือ ฟังเป็น
กลวิธีการฟังเป็น
                การฟังเป็นมีส่วนประกอบ ๔ ประการ คือ
๑.      ความตั้งใจในการฟัง หรือมีสมาธิในการฟัง
๒.    ใช้ความคิดพิจารณาเนื้อหาสาระที่ฟัง
๓.     ใช้สติ จิตไม่วอกแวก ระลึกอยู่เสมอว่าฟังอะไรและคิดอย่างไร
๔.     ใช้ปัญญา วิเคราะห์ วินิจฉัยและตัดสินใจด้วยเหตุผล
                การฟังหากมีส่วนประกอบครบถ้วนทั้ง ๔ ประการ เป็นการฟังที่ใช้ วิจารณญาณเรียกว่า ฟังเป็นเป็นการฟังที่มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคมได้
กลวิธีการใช้วิจารณญาณในการฟัง
                วิจารณญาณ หมายถึง การมีเหตุมีผลในการพินิจพิจารณา โดยใช้เหตุผล และใคร่ครวญอย่าง
ถี่ถ้วน ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
๑.                  พิจารณาเรื่องที่ฟัง เพื่อทำความเข้าใจความหมายของคำหรือข้อความ ซึ่งเป็นสำนวนคำเปรียบเทียบ สุภาษิต คำพังเพย ภาษาถิ่นหรือสัญลักษณ์ที่ไม่ใช่คำพูด หรือสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในเนื้อหาสาระ
ตัวอย่าง จาก มาดีไปดี(พระครูวิวิธธรรมโกศล)

                                    มนุษย์เรา                                         มีดี                                           ในชีวิต
                                ประกอบกิจ                                         การเลิศ                                 ประเสริฐสุนทร์
                                ทำความชอบ                                       มอบไว้                                   เป็นใบบุญ
                                ไว้เป็นทุน                                            ข้างหน้า                                สถาพร  
                เมื่อฟังบทประพันธ์ดังกล่าวแล้ว เข้าใจความหมายของคำว่า ประกอบกิจ การเลิศ ประเสริฐสุนทร์  คือ การทำคุณงามความดีอย่างยอดเยี่ยม เป็นใบบุญไม่ได้หมายถึงบุญเป็นใบ ๆ แต่หมายถึงบุญที่คอยส่งผลให้ สถาพรคือ ยั่งยืน มั่นคง ถาวร
๒.                พิจารณาเรื่องที่ฟังเพื่อพิจารณาแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นและเจตนาของผู้พูด การพูดมีหลายลักษณะ เช่น การพูดเพื่อหาเสียง การพูดเพื่อโน้มน้าว การพูดเพื่อโฆษณาสินค้า การอภิปราย การโต้วาที ฯลฯ ดังนั้น ผู้ฟังจะต้องพิจารณาเรื่องที่ฟังแต่ละลักษณะให้ดี ต้องแยกข้อเท็จจริงให้ได้ด้วยเหตุด้วยผล เป็นการพูดที่เป็นความคิดส่วนตัว เป็นการโฆษณาสินค้าเกินความจริง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อเอาดีคนเดียว หรือเป็นข้อมูลที่สมเหตุสมผล ผู้พูดมีเจตนาแอบแฝงหรือเปล่า การใช้ถ้อยคำสำนวน น้ำเสียง มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่าง
                “สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวต้นอ้อของกระผม กระผมเห็นว่าการแก้ปัญหาของสังคมไทยไม่ตรงจุด เกาไม่ถูกที่คัน ความจริงการแก้ปัญหาของสังคมไทย ควรให้เป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกในสังคมทุกคน นั่นคือจะต้องให้คนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 96 ที่อยู่นอกระบบราชการมีส่วนกำหนดการแก้ปัญหาของเขาเอง การคิดว่าราชการจะต้องแก้ปัญหา ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา กระผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการอย่างนี้ เพราะเป็นวิธีคิดแบบชนชั้นนิยม บางคนที่กำลังฟังผมพูดก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร กระผมรับรองว่าเป็นไปได้แน่ครับที่มันไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเพราะเขาไม่ทำ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องมาขายความคิดของผมต่อพ่อแม่พี่น้องชาวต้นอ้อ โปรดเลือกเบอร์ 5 ผมขออาสาพ่อแม่พี่น้องชาวต้นอ้อไปทำงานตามที่ได้มากล่าวปราศรัยในวันนี้
                เมื่อฟังคำกล่าวปราศรัยแล้วพบว่าผู้สมัคร ส.ส.ท่านกำลังรณรงค์หาเสียงโดยนำปัญหาของสังคมเป็นปัจจัยในการหาเสียง ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่มีความเป็นจริงว่าปัญหาทุกอย่าง ผู้ประสบปัญหาจะต้องกำหนดวิธีการแก้ปัญหาเอง โดยอาศัยปัจจัยสนับสนุนแต่ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายในการหาเสียงเท่านั้นโดยลำพังของผู้สมัครจะไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ระดับชาติได้เลย
๓.                 พิจารณาเหตุผล หรือหลักฐานอ้างอิง เพื่อหาความเป็นไปได้ของเรื่องที่ฟังว่า มีคุณค่าเหมาะสม น่าเชื่อถือ และเป็นสิ่งสร้างสรรค์มากน้อยเพียงใด การฟังในลักษณะนี้ต้องใช้ความใคร่ครวญ วิเคราะห์และใช้วิจารณญาณตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง
ตัวอย่าง
                การศึกษารูปแบบฉันทลักษณ์ของวรรณกรรมพื้นบ้านภาคเหนือ พบว่ามีสำคัญ ๆ อยู่ ๓ ชนิดคือ
-                   โคลง
-                   ค่าวธรรม
-                   ค่าวชอ
แต่ในตัวอย่างที่จะนำมาเพื่อให้พิจารณา จะนำเรื่องราวเฉพาะโคลงเท่านั้น คือ
โคลง หรือเรียกตามสำเนียงท้องถิ่นภาคเหนือว่า กะลงซึ่งมี กะลงใหญ่ คือกะลงสี่ห้อง (โคลงสี่) กะลงน้อยคือ กะลงสองห้องและกะลงสามห้อง (โคลงสองและโคลงสาม) โคลงนี้เป็นฉันทลักษณ์ที่เจริญรุ่งเรืองในภาคเหนือมาก่อน ภายหลังชาวภาคกลางสมัยกรุงศรีอยุธยาได้แบบอย่างประพันธ์มาจากประชาคมภาคเหนือ ดังที่กรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพได้แสดงให้เห็นว่า โคลงจะคิดแต่งเมื่อไรไม่ปรากฏ มีเค้าแต่ว่าโคลงนั้นดูเหมือนจะเป็นของไทยฝ่ายข้างเหนือคิดขึ้น มีกำหนดตัวอักษรนับเป็นบาท ๒ บาท ๓ บาท ๔ บาท เป็นบทเรียกโคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ โคลงเก่า ๆ ที่มีสัมผัสกำหนดสูงต่ำน้อยแห่ง แต่มาบังคับมากขึ้นภายหลัง เห็นจะเป็นเมื่อไทยข้างฝ่ายใต้รับมาประดิษฐ์ขึ้น (สมาคมวรรณคดีบันทึกสมาคมวรรณคดี ฉบับที่ ๕ : จากธวัช ปุณโนทก)
เมื่อฟังเรื่องดังกล่าว จะพบว่าผู้ให้ข้อมูลได้ใช้ทั้งประสบการณ์ หลักฐานจากสมาคม วรรณคดี เป็นข้อมูลในเนื้อหา เราจึงพบคุณค่าในเนื้อหาที่ฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของโคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่ ตลอดทั้งการพัฒนารูปแบบการเขียนโคลงที่ใช้ในปัจจุบัน มีเหตุผลอ้างอิงเชื่อถือได้ และมีคุณค่า
กลวิธีการฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณในการฟัง
                การฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณไม่ใช่เป็นเรื่องยากที่บุคคลธรรมดาฝึกไม่ได้ แท้ที่จริงเป็นเรื่องง่ายถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
๑.        เริ่มฝึกโดยการเลือกฟังเหตุการณ์หรือเรื่องสั้น ๆ ง่าย ๆ ตรงกับความต้องการหรือสนใจ หรือเรื่องที่มีประสบการณ์อยู่บ้าง แล้วพิจารณาเรื่องที่ฟังนั้นในแง่มุมต่าง ๆ จากประสบการณ์ของเราเองจากความรู้ที่มีอยู่ จากประสบการณ์และความรู้ของเพื่อน หรือผู้รู้อื่น ๆ หากพิจารณาในรูปของกลุ่มได้ยิ่งดี ฝึกไปเรื่อย ๆ จนมีความชำนาญสามารถทำได้ด้วยตนเอง
๒.      เพิ่มการฟังที่มีเนื้อหามากขึ้นเช่นการฟังปาฐกถา อภิปราย โต้วาที การปราศรัยหาเสียงของนักการเมือง ระบบการส่งสารทางเครื่องอิเล็กทรอนิคส์ แล้วนำมาปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อที่ ๑ จนสามารถพิจารณาด้วยตนเองได้
๓.       จดจำปัญหาที่ได้จากการใช้วิจารณญาณในข้อ  ๑ และข้อ ๒ ในแต่ละครั้งไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงและพยายามหาความรู้จากแหล่งอื่นเพื่อเสริมความรู้ให้มากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณในการฟัง
                ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณในการฟัง มีดังนี้
๑.      เลือกฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสังคมได้
๒.    สามารถแจกแจงสิ่งมีคุณค่า และไม่มีคุณค่าต่อตนเองและสังคมได้
๓.     สามารถนำส่วนที่ดีมีประโยชน์ไปใช้ในการพัฒนาตนเองและสังคมได้
๔.     สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้พูด และจุดประสงค์เรื่องที่พูดได้ชัดเจน
๕.     สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องที่ฟังนั้นอะไรเป็นสาระสำคัญ และอะไรเป็นสาระที่ไม่สำคัญ
๖.      สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ฟังได้ว่าข้อมูลใดเชื่อถือได้ และอะไรเชื่อถือไม่ได้
การได้ยินกับการฟังต่างกันอย่างไร
                การได้ยิน คือเมื่อเสียงผ่านเข้ามาในหู เราอาจรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ได้ เช่น ขณะที่เราอ่านหนังสืออาจได้ยินเสียงคนพูดแต่ไม่ทราบว่าเขาพูดอะไร
                การฟัง มีการรับรู้เมื่อเสียงผ่านเข้ามา เพราะมีความตั้งใจฟัง รู้ว่าพูดเรื่องอะไร จับใจความได้
                ดังนั้นการได้ยินกับการฟังจึงแตกต่างกัน แต่เรามักจะใช้คำว่า ได้ยินแทน ฟังเสมอ ในภาษาพูดสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ถูกต้อง เช่น ได้ยินสมศักดิ์บอกว่าวันนี้ไม่ไปพบกลุ่มจริง ๆ แล้วต้องพูดว่า สมศักดิ์พูดให้ฟัง (บอก) ว่าวันนี้ไม่ไปพบกลุ่มเพราะจับใจความได้ว่าสมศักดิ์พูดว่าอะไร
ความสำคัญของการฟังมีอย่างไร
                ในสมัยโบราณการถ่ายทอดความรู้ การสื่อสารใช้การพูดเป็นกลักมากกว่าการสื่อสารในลักษณะอื่น ทั้งนี้เพราะการพูดเกิดก่อนการเขียน จึงมีการแนะนำกันว่าต้องการเป็นผู้รอบรู้ ได้ชื่อว่า พหูสูตต้องปฏิบัติตามหลัก หัวใจนักปราชญ์ซึ่งประกอบด้วย สุ จิ ปุ ลิ
                                สุ  คือ  การฟัง
                                จิ  คือ  การคิด  หรือมีจิตจดจ่อ
                                ปุ  คือ  การถาม  หากมีข้อสงสัย
                                ลิ  คือ  การเขียน  จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
                จากสถิติการฟัง คนทั่วไปในวันหนึ่งใช้เวลา 45% พูด 30% อ่านและเขียน 25% การฟังทำให้ทรายความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของสังคมทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จึงกล่าวได้ว่าการฟังมีความสำคัญ
ลักษณะการฟังที่มีประสิทธิภาพต้องปฏิบัติอย่างไร
๑.        ผู้ฟังมีประสาทหูไว จับเสียงได้รวดเร็ว ถูกต้อง
๒.      มีสมาธิ ไม่วอกแวก ไม่ใจลอย อดทนต่อสิ่งรบกวน
๓.       มีพื้นความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังพอสมควร
๔.       มีความรู้เชิงภาษาพอสมควร เช่น การใช้สำนวนโวหาร คำศัพท์ยาก ๆ หรือศัพท์ทางวิชาการ เป็นต้น
๕.       มีจิตใจกว้างขวางพอที่จะรับฟังความคิดเห็น และเรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยไม่จำกัดประเภทและขอบเขต
๖.        มีทัศนคติที่ดีต่อผู้พูด ฟังด้วยความเต็มใจ
๗.       มีความสังเกต มีวิจารณญาณ สรุปได้ว่าข้อความตอนใดเป็นเนื้อความ ตอนใดเป็นอุทาหรณ์ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น
๘.       สามารถสรุปเรื่องราวที่ฟังได้ และสามารถถ่ายทอดต่อได้อย่างถูกต้องตามเนื้อหาสาระครบถ้วนทุกประการ
๙.          ฟังโดยไม่ขัดคอ เช่นการขัดขวางผู้พูดด้วยการซักถาม ต้อนให้จนมุม
๑๐.    ฟังโดยไม่คิดเตรียมตัวโต้ตอบในขณะที่ฟัง เพราะจะทำให้เสียสมาธิในการฟัง
๑๑.    ฟังเพื่อพยายามหาข้อตกลง โดยหาประเด็นที่จะประนีประนอมกัน ไม่ค่อยจับผิดหาจุดอ่อนเพื่อโต้แย้งทำลายกัน
๑๒.  ฟังโดยทำความเข้าใจให้ตรงกัน คือ ขณะที่มีการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงอยู่นั้น ควรสรุปข้อความที่ตนเข้าใจให้ผู้พูดยอมรับเสียก่อนว่าหมายความเช่นนั้น เพื่อให้ประเด็นที่ขัดแย้งกันเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันเสียก่อนที่ตนแสดงความคิดเห็นต่อไป
                สรุป การฟังที่มีประสิทธิภาพย่อมทำให้เกิดปัญญา
ตัวอย่าง        สำนวน    สุภาษิต    คำพังเพย    คำประพันธ์    เกี่ยวกับการฟัง
Ø ฟังให้มาก มากรู้ เป็นครูสอน (ครองราชย์-ครองใจ)
Ø ฟังหูไว้หู
Ø อย่าหูเบา
Ø สีซอให้ควายฟัง
Ø ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด
Ø ฟังเทศน์หาวนอน ดูละครตาสว่าง (ประถมมาลา)
Ø ฟังความข้างเดียว
Ø ฟังหูไว้หูอย่าวู่วาม                                              พูดให้งามไพร่ผู้ดีมีเมตตา (พิเภกสอนบุตร)
Ø อย่าฟังฟ้องสองโสตจงโปรดปราน ด้วยลมพาลพานพัดอยู่อัตรา
(เพลงยาวถวายโอวาท)
Ø ขาย่อมว่ามีหูฟังดูก่อน                                        ที่เย็นร้อนให้ประจักษ์อย่าหักหาญ
ค่อยยับยั้งฟังข่าวที่ร้าวราว                 แม้นควรการเท่าไรได้จำเริญ (พระอภัยมณี)
                                                                ฯลฯ
องค์ประกอบของฟังเป็น
๑.        ต้องมีสมาธิในการฟังเพื่อรับรู้
๒.       ต้องใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่ได้ยิน
๓.       ต้องใช้สติปัญญาและวิจารณญาณตัดสินใจว่า ข้อความที่ได้ยินเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
๔.       นำสิ่งที่ได้รับฟังนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง บุคคลอื่น และสังคมได้ 
ประเภทของการฟังมีอะไรบ้าง
                ในชีวิตประจำวันของมนุษย์จะแบ่งการฟังออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท
๑.      ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน เช่น ฟังเพลง ฟังเรื่องตลกขบขันประเภทเบาสมอง การโต้วาที เป็นต้น
๒.    ฟังเพื่อความรู้ เช่น ข่าวสาร การบรรยายทางวิชาการ การสนทนา ปาฐกถาเรื่องต่าง ๆ
๓.       ฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงโลก คือฟังแล้วเกิดสติปัญญา ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นมีความสุขุมมากขึ้น ฯลฯ ได้แก่ การฟังเทศน์ ฟังการอภิปรายเกี่ยวกับสุขภาพกาย สุขภาพจิต การบรรยาย หรือปาฐกถาเกี่ยวกับธรรม เศรษฐกิจ สังคม เป็นต้น
 รสนิยมทางด้านมารยามการฟัง
                รสนิยมทางด้านการฟังของมนุษย์ มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอากัปกิริยาต่าง ๆ บางคนฟังเพลงต้องเต้นหรือเคาะจังหวะหรือโยกตัว บางคนนั่งไขว่ห้างเวลาฟังผู้อื่นพูด บางคนคุยเสียงดัง บางคนนำอาหารว่างรับประทานไปด้วย สิ่งเหล่านี้คือรสนิยมเฉพาะตัว ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสากล หรือของสังคมส่วนใหญ่
รสนิยมเกี่ยวกับมารยาทการฟังที่สังคมยอมรับ
                รสนิยมทางด้านมารยาทที่สังคมยอมรับ
๑.      สำรวมกิริยาอาการ สบตาคู่สนทนาหรือผู้พูดเป็นครั้งคราว
๒.    ไม่ชิงพูดก่อนคู่สนทนา หรือผู้พูดยังพูดไม่จบ
๓.       สอบถามเมื่อฟังจบแล้วไม่เข้าใจ หากเป็นการฟังในที่ประชุมจะต้องยกมือก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงพูด
๔.     การฟังที่มีผู้ฟังมาก ไม่ควรกระซิบพูดกับคนข้างเคียง
๕.     มีความตั้งใจและกระตือรือร้นในการฟัง
๖.      ไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่กำลังฟัง หรือผู้ที่กำลังพูดอยู่
๗.     ไม่นำของขบเคี้ยวไปรับประทานขณะที่ฟัง
๘.     ไม่เดินเข้าเดินออกบ่อยครั้ง ถ้าไม่ได้นั่งอยู่แถวริมทางเดิน
๙.      การแต่งการใช้เสื้อผ้าและสีให้เหมาะสมกับกาลเทศะของการฟังและการพูด

แบบทดสอบ
๑.   ข้อใดเป็นผลการวิจัยการใช้เวลาในการฟังของผู้ใหญ่ในชีวิตประจำวัน
๑.      ร้อยละ 50
๒.    ร้อยละ 48
๓.     ร้อยละ 45
๔.     ร้อยละ 40
๒.  การฟังข้อใดได้ชื่อว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพ
๑.      ฟังสิ่งที่ชอบฟัง
๒.    ฟังอย่างมีวิจารณญาณ
๓.     ฟังโดยมีสติ
๔.     ฟังด้วยความเคารพและคิดถาม
๓.  ข้อใดเป็นกลวิธีการฟัง
๑.      มีสมาธิในการฟัง
๒.    คิดพิจารณาสิ่งที่ฟังโดยใช้สติ
๓.     ใช้ปัญญาวิเคราะห์เรื่องที่ฟัง
๔.     ที่กล่าวมาเป็นกลวิธีการฟังได้ทุกข้อ
คำพูดที่ว่า ฟังเป็นมีความหมายตรงกับข้อใด
.    ฟังโดยใช้วิจารณญาณ
.    ฟังโดยการวิเคราะห์ข้อมูล
.    ฟังโดยการสังเคราะห์
.    ฟังโดยการเปรียบเทียบข้อมูล
.  “คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อนเมื่อท่านได้ฟังประโยคนี้แล้วท่านต้องพิจารณาในข้อใด
                ๑.    แจกแจงข้อเท็จจริง
                .    ความหมายของประโยค
                .    เหตุผลและข้อมูลอ้างอิง
                ๔.    ไม่มีข้อถูก
.  “จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพบว่า เหตุที่ทำให้คนมีอายุยืนยาว มีปัจจัย ๔ ประการ คือ กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม โภชนาการ และการออกกำลังกายจากข้อมูลนี้ท่านพิจารณาในข้อใด
                ๑.    ความหมายของประโยค
                ๒.    แจกแจงข้อเท็จจริง
                .    จุดมุ่งหมายของการพูด
                ๔.    เหตุผลและหลักฐานอ้างอิง
ข้อใดเป็นกลวิธีการฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณข้างต้น
                ๑.    การฟังปาฐกถา
                .    การฟังอภิปราย
                ๓.    การฟังเรื่องสั้น ๆ
                .    การฟังนวนิยาย
ปัจจัยช่วยในการฝึกทักษะการใช้วิจารณญาณขั้นต้นคือข้อใด
                ๑.    กระบวนการกลุ่ม
                .    เครื่องบันทึกเสียง
                ๓.    สติ ปัญญา สมาธิ
                ๔.    กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ข้อใดถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุดของการ ฟังเป็น
                .    แจกแจงว่าสิ่งใดมีคุณค่า และไม่มีคุณค่าในเรื่องที่ฟัง
                ๒.    เลือกฟังสิ่งที่ดีมีคุณค่าต่อการพัฒนาชีวิตตนเองและสังคม
                ๓.    วิเคราะห์ความเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือของผู้พูด
                ๔.    สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและจุดประสงค์ของผู้พูด

เฉลยแบบทดสอบ
             ๑.   3                                                      .                                                                       .   
.  ๑                                                            .                                                                      .   
.                                                             .                                                                       .   



แหล่งที่มา :
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ( ๒๕๕๐ )วรรณสารศึกษา เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๗กรุงเทพฯ คุรุสภาลาดพร้าว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
"Sky and sea meet each other at the horizon...
You and me meet each other at love "
-- > $$ ฟ้ากับน้ำ พบกันที่ขอบฟ้าไกล หัวใจของเรา พบกันที่ความรัก $$

We are I'am

We are I'am

We are I'am

We are I'am

"Nuu Nuu Nuu"

อ่ะ!!!ๆๆกำลังอินช่ายม่ะ..หุ..หุ... "((( From now on, It's the beginning of two hearts That's reunion into one. Walk together with hand in hand And fill the heart with love and understand. )))" "$$ และนับจากวันนี้ นี่คือจุดเริ่มต้น ที่หัวใจคนสองคน จะผูกพันด้วยความรู้สึกเดียว เก็บเกี่ยวความฝัน ความรัก ก้าวต่อไปข้างหน้าร่วมกันด้วยความเข้าใจ $$"
" Many words of love never mean
So much as the feeling in my heart. "
-- > $$ กี่คำ " รัก" ก็ไม่เท่าที่ใจรู้สึก
$$"
$$ "Love forever
.............................Nuu Nuu Nuu " $$ ^^

We are I'am

We are I'am
 
Blogger Templates