
ก่อนที่จะพิจารณาว่า
การฟังให้สัมฤทธิ์ผล มีระดับสูงหรือต่ำมากน้อยอย่างไร
และมีแนวปฏิบัติในการฟังให้สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้นอย่างไร
เราควรย้อนกลับไปพิจารณาถึงโอกาสต่างๆของการฟังเสียก่อน
ซึ่งอาจมีบางส่วนซ้ำกับเรื่อง “รับสารด้วยการฟัง”
โอกาสของการฟัง
ในวันหนึ่งๆคนเราต้องฟังผู้อื่นพูดในโอกาสต่างๆ
มากต่อมากด้วยกัน เราอาจแยกโอกาสของการฟังตามประเภทของการสื่อสารได้ดังนี้
๑.
การฟังระหว่างบุคคล
๒.
การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก
๓.
การฟังในที่ประชุมหรือในที่ชุมนุม
๔.
การฟังวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
และสื่ออิเล็กทรอนิก
การฟังในการสื่อสารระหว่างบุคคล
หรือเรียกให้สั้นลงว่า การฟังระหว่างบุคคล มีทั้งการฟังที่ไม่เป็นทางการ เช่น
ฟังในขณะที่ทักทายกัน ระหว่างการสนทนาปราศรัย การสอบถาม การขอคำแนะนำในเรื่องทั่วๆไป
และการฟังที่เป็นทางการ เช่น ฟังในระหว่างการสัมภาษณ์ การแนะนำตัว
การแนะนำให้บุคคลรู้จักกัน
การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก
ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการสื่อสารกึ่งทางการ หรือค่อนข้างไม่เป็นทางการ เช่น
ในกลุ่มที่ใช้ความคิดร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน ช่วยกันหาวิธีปฏิบัติหรือวิธีแก้ปัญหา
การฟังในที่ประชุมหรือในที่ชุมนุมมักค่อนข้างเป็นทางการหรือเป็นทางการมาก
เช่น ฟังบรรยายประกอบการสาธิตวิธีใช้เครื่องมือจะมีลักษณะค่อนข้างเป็นทางการ
ฟังคำบรรยายของผู้ทรงคุณวุฒิ ฟังโอวาท ฟังคำกล่าวรายงาน ย่อมมีลักษณะเป็นทางการมาก
การฟังวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการฟังอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ฟังข่าวประจำวัน
ฟังรายการความรู้ ฟังประกาศของทางราชการ
แม้รายการที่ส่งมาจะมีลักษณะเป็นทางการก็ตาม
ยิ่งเป็นรายการที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ เช่น รายการสนทนาพาเพลิน รายการหรรษา การฟังรายการประเภทนี้ย่อมเป็นการฟังอย่างไม่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น
ระดับขั้นของการฟังให้สัมฤทธิ์ผล
เบื้องต้น
ผู้ฟังต้องทราบว่าโอกาสที่ตนฟังนั้นเป็นการฟังอย่างไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ
หรือเป็นทางการ สมมุติว่าเป็นโอกาสที่จำเป็นต้องฟังอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ฟังกลับฟังอย่างไม่เป็นทางการ
ย่อมยากที่จะฟังให้สัมฤทธิ์ผลได้
ต่อจากนั้นเราต้องพิจารณาพฤติกรรมการฟังในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของกระบานการสื่อสารว่า
ผู้ส่งสารมีจุดประสงค์อย่างไร อาทิ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ
เห็นจริงและนำไปปฏิบัติตาม ถ้าผู้ฟังซึ่งเป็นฝ่ายผู้รับสารได้ยินแล้วสามารถกำหนดรู้ได้
หรือบอกแก่ตนได้ว่า ตามที่ผู้พูดได้ส่งสารมานั้นผู้พูดมีจุดประสงค์เช่นนั้นๆ
ตรงกันกับที่ผู้พูดตั้งใจไว้ เช่นนี้แล้ว ก็ถือได้ว่า
ผู้ฟังสามารถฟังให้สัมฤทธิ์ผลได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่นับว่าใช้ได้
ถ้าผู้ฟังมีความสามารถสูงขึ้นไป
กล่าวคือ เมื่อจับจุดประสงค์ของผู้พูดได้แล้ว ยังรู้จักใช้ดลพินิจของตน
บอกได้ด้วยว่าเรื่องราวที่ตนได้ฟังนั้น เนื้อความครบแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ครบ
ยังขาดส่วนใด เช่นนี้แล้วก็ถือว่า ผู้ฟังสามารถฟังให้สัมฤทธิ์ผลสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ถ้าผู้ฟังมีความสามารถสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฟังคำอธิบายหรือฟังคำชี้แจง
รู้จักใช้ดุจพินิจได้สูงยิ่งขึ้น บอกแก่ตนเองได้ว่า
เท่าที่ผู้พูดได้อธิบายหรือพยายามชี้แจงให้เห็นจริงนั้น หักฐาน ข้อเท็จจริง
และเหตุผลที่นำมาสนับสนุนมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่เพียงไร เช่นนี้แล้ว
การฟังนั้นก็ถือว่าผู้ฟังสามารถฟังให้สัมฤทธิ์ผลสูงมากยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้น
เมื่อใช้ดุลพินิจแล้ว ผู้ฟังยังสามารถบอกได้อีกว่า สารที่ส่งมามีคุณค่าเพียงใด
ในงาใดบ้าง เช่นนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าผู้ฟังสามารถฟังให้สัมฤทธิ์ผลสูงมากเป็นพิเศษ
คำว่า
ดุลพินิจที่กล่าวมาหลายครั้งข้างต้นนี้ หมายถึง
การใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความไม่เอนเอียง ปราศจากอคติ
เป็นความสามารถที่ค่อยๆเจริญขึ้นในตัวบุคคลเมื่อมีโอกาสได้ใช้สมรรถภาพในการคิดสม่ำเสมอตลอดมา
รวมทั้งได้รับการฝึกฝน ได้เห็นแบบอย่างมากพอ จากบิดา มารดา ครูอาจารย์
และสภาพแวดล้อม เป็นต้น
ตามที่กล่าวมาข้างต้น
นักเรียนจะเห็นว่า การฟังให้สัมฤทธิ์ผลมีหลายขั้นหลายระดับสำหรับแต่ละบุคคลนั้น
แม้จะให้สัมฤทธิ์ผลในระดับขั้นต้นๆก็ตาม ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ทุกครั้งไปในทุกเรื่องทุกกรณี
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้มีวุฒิภาวะสูงเพียงใด
อย่างไรก็ดีทุกคนควรหมั่นพัฒนาการฟังของตนตลอดไปในชีวิต คนที่มีโอกาสฟังมาก
และใช้ดุลพินิจด้วยย่อมมีโอกาสพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น
สมมติว่านักเรียนไปทดสอบสมรรถภาพทางกาย
หลังจากชั่งน้ำหนักตัวแล้ว ผู้ควบคุมการทดสอบได้พูดให้นักเรียนฟังว่า
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะที่น้ำหนักน้องเกินมาตรฐาน
สิ่งที่น้องควรทำคือการกำจัดน้ำหนักส่วนที่เกินออก
ด้วยการดปริมาณอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย แต่ไม่ควรใช้ยาทุกชนิด
เพราะจะมีผลแทรกซ้อนขึ้นภายหลัง การลดอาหารวันละ ๑๐๐ กิโลแคลอรี่
และใช้พลังงานในการออกกำลังกายวันละ ๑๐๐ กิโลแคลอรี่ ภายใน ๑ เดือน
น้ำหนักน้องจะลดลง ๑ กิโล ถ้าหากน้ำหนักของน้องเกินมาตรฐาน ๓ กิโล ถือว่ายังหุ่นดี
ถ้าเกิน ๔-๗ กิโล จะดูท้วม และถ้าเกิน ๘ กิโล จะดูเจ้าเนื้อไปหน่อย
นักเรียนจะทราบได้อย่างไรว่าการฟังของตนสัมฤทธิ์ผลในระดับขั้นใด
วิธีตรวจสอบก็คือ
๑.นักเรียนทราบจุดประสงค์ของผู้พูดหรือไม่
ถ้าทราบแล้ว สามารถบอกได้ว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไร
นี่แสดงว่าสำเร็จผลในระดับขั้นที่ ๑
สมมตินักเรียนทราบจุดประสงค์ว่า
ผู้พูดต้องการให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีลดน้ำหนักซึ่งก็ตรงกับจุดประสงค์ที่ผู้พูดตั้งใจไว้จริงๆ
นี่แสดงว่าการฟังของนักเรียนสัมฤทธิ์ผลได้ในระดับขั้นที่หนึ่ง
แต่ถ้านักเรียนสำคัญว่า ผู้พูดมีจุดประสงค์พูดเล่นให้สนุกๆ ไม่จริงจังอะไร
การฟังของนักเรียนไม่สัมฤทธิ์ผล
๒.นักเรียนทราบหรือไม่ว่า
ข้อความที่ผู้พูดพูดมานั้นครบถ้วนหรือไม่ ถ้าทราบแสดงว่าการฟังของนักเรียนสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
สมมตินักเรียนบอกได้ว่า
ผู้พูดไม่ได้ยกตัวอย่างเลยว่า อาหาร ๑๐๐ กิโลแคลอรี่ ได้แก่อะไรบ้าง
ในปริมาณเท่าใด และออกกำลังกายวันละ ๑๐๐
กิโลแคลอรี่ก็ไม่มีตัวอย่างว่าออกกำลังกายอย่างไร นานแค่ไหน
นี่แสดงว่าการฟังของนักเรียนสัมฤทธิ์ผลสูง
๓.นักเรียนบอกได้ว่า
เนื้อความที่ได้ฟังนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างไร ถ้าบอกได้ชัดเจน
แสดงว่าการฟังสัมฤทธิ์ผลในระดับสูงขึ้นไปอีก แต่ถ้าบอกไม่ได้หรือไม่สามารถระบุได้
แสดงว่าการฟังของนักเรียนยังไม่สัมฤทธิ์ผลในขั้นนี้
สมมตินักเรียนบอกได้ว่า
สิ่งที่ได้ฟังนั้นน่าเชื่อถือ เพราะผู้พูดเป็นผู้มีความรู้
มีหน้าที่โดยตรงในสถานที่บริการนั้น
นอกจากนี้รายะเอียดเท่าที่ให้มาเป็นตัวเลขก็สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือได้
แสดงว่าการฟังของนักเรียนสัมฤทธิ์ผล เนื่องจากข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้น
๔.นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่า
สารที่ได้ฟังนั้นมีคุณค่า เป็นประโยชน์หรืไม่อย่างไร ถ้าบอกได้หรือประเมินได้
การฟังนั้นก็สัมฤทธิ์ผลในขั้นสูงขึ้นไปอีก
สมมตินักเรียนประเมินว่า
สารนี้มีประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ ไม่เฉพาะแก่ตัวนักเรียนเท่านั้น
แต่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วๆไปด้วย เช่นนี้ก็แสดงว่านักเรียนสัมฤทธิ์ผลในระดับที่สูงขึ้นมาก
ขอให้นักเรียนสังเกตว่า
เรื่องของการสัมฤทธิ์ผลในการฟังนั้น ยากที่จะวางกฎเกณฑ์ให้ตายตัวไปได้
การเรียนเรื่องนี้มีจุดประสงค์สำคัญให้นักเรียนตระหนักว่า
การฟังในชีวิตประจำวันนั้น ผู้ฟังจะต้องพยายามฟังให้สัมฤทธิ์ผลอยู่เสมอ
ส่วนจะสัมฤทธิ์ผลได้ในขั้นใดระดับใด ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเนื้อเรื่อง
เจตนาของผู้พูด ความพร้อมและประสบการณ์ของผู้ฟัง
ซึ่งบางทีก็ยากที่จะฟังให้สัมฤทธิ์ผลได้ บุคคลสองคนหรือมากกว่านั้น
ฟังเรื่องเดียวกัน จากผู้พูดคนเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน
อาจไม่สัมฤทธิ์ผลได้เสมอกันทุกครั้งไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
กิจกรรม
๑.ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้
เป็นรายบุคคล หรืออาจทำเป็นงานกลุ่มก็ได้ เมื่อจบขั้นตอนหนึ่งๆแล้ว
อาจอภิปรายกันในหมู่เพื่อนที่ได้ฟังมาอย่างเดียวกันหรืออาจนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
ฝึกฟังให้สัมฤทธิ์ผล
ฟังเรื่องที่ไม่ยากและไม่ยาวจนเกินไป
รายการข่าวทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
ส่วนมากจะนำเสนออย่างรวบรัดเพียงสั้นๆ
ต่อเนื่องกันไปจากข่าวชิ้นหนึ่งไปอีกชิ้นหนึ่ง
นักเรียนควรฝึกฟังให้ทันและฟังให้เข้าใจด้วย ซึ่งไม่ยากนัก ควรหมั่นฟังอยู่เป็นนิจ
ถ้าทำได้ต่อเนื่องจริงๆ สักระยะหนึ่ง การฟังก็จะสัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น
อนึ่ง
เมื่อฟังแล้วควรนำมาเล่าหรือปรารภให้ผู้อื่นฟัง
ถ้าผู้ฟังได้ฟังข่าวเดียวกันมาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการดี
เพราะเท่ากับเป็นการตรวจสอบสมรรถภาพการรับสารของเราว่ารับมาได้ครบหรือไม่
จับเนื้อความของข่าวได้ตรงกันหรือไม่
ในโอกาสที่ฟังคำสั่ง
คำแนะนำ คำปรารภ คำชักชวนสั้นๆ ไม่ว่าจะฟังจากครูอาจารย์ ประธานนักเรียน โฆษก
เจ้าหน้าที่ แม้แต่พนักงานขายสินค้า จะโดยการสื่อสารเฉพาะหน้า
หรือโดยการสื่อสารในที่สาธารณะ ในที่ประชุม หรือทางสื่อมวลชนก็ตาม
ควรตั้งใจและเอาใจใส่ จับใจความให้ครบถ้วนทุกครั้งไป
และเมื่อฟังแล้วควรใช้ความรู้ความคิดของตนพิจารณาต่อไปด้วยว่า
จุดประสงค์ของผู้พูดคืออะไร เนื้อความที่ได้ฟังนั้นมีว่าอย่างไร
มีความสมบูรณ์แล้วหรือไม่
หาโอกาสฟังสิ่งที่มีสารประโยชน์อยู่เป็นนิจ
ปัจจุบัน
รายการสารคดีทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์หลายรายการนำเสนอเรื่องที่น่ารู้น่ารับฟัง
นักเรียนอาจเลือกฟังตามความสนใจของนักเรียน เช่น
เลือกฟังรายการที่มีความยาวตั้งแต่ ๑๕ นาที ขึ้นไปจนถึง ๔๕ นาที
ในการฟังควรฟังให้จบตอนเพื่อจะได้พิจารณาการเริ่มต้น การดำเนินเรื่องและการจบรายการ
ทั้งนี้นอกจากจะได้มีโอกาสรับสารจากรายการนั้นๆครบถ้วนแล้ว
ยังจะได้มีโอกาสใช้ดุลพินิจของตนในระหว่างที่ฟังว่าผู้นำเสนอมีจุดประสงค์อะไร
เมื่อเห็นว่า
ตอนใดในรายการนั้นๆมีประโยชน์น่าจดจำให้บันทึกไว้ด้วยถ้อยคำของนักเรียนเอง
และหากได้นำความประทับใจที่ตนได้รับจากรายการใดก็ตาม ไปเล่าสู่กันฟังก็จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
การได้พูดคุยกับคนอื่นๆเกี่ยวกับรายการที่ฟังหรือชมมาเหมือนๆกัน
โดยแลกเปลี่ยนความคิดกันเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นว่าน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ
สิ่งที่แสดงให้เห็นความสามารถของผู้นำเสนอ ความพยายามของผู้นำเสนอ
หรือสิ่งที่ตนเห็นว่ายังบกพร่องอยู่ในการนำเสนอ
เหล่านี้ล้วนจะช่วยพัฒนาความสามารถในการฟังของเราให้สัมฤทธิ์ผลสูงยิ่งขึ้น
หมั่นฟังการบรรยายหรือการอภิปรายในโอกาสต่างๆ
ในงานต่างๆ
เช่น สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันครู วันเด็ก วันสิ่งแวดล้อมโลก ฯลฯ ผู้จัดมักกำหนดให้มีรายการบรรยายหรืออภิปรายเป็นคณะในหัวข้อที่มีสารประโยชน์ทางวิชาการอยู่เสมอ
และเปิดโอกาสให้สาธารณชนที่สนใจเข้าฟังได้ จึงไม่ควรละโอกาสที่มีประโยชน์เหล่านี้
ควรเข้าไปร่วมฟัง และฟังด้วยความตั้งใจ ถ้ามีโอกาสได้ซักถาม ก็ควรกล้าที่จะซักถาม
การซักถามเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนใจและความเข้าใจในระดับหนึ่งในเรื่องที่ได้ฟัง
โดยปกติแล้วการซักถามของผู้ฟังเป็นที่ยินดีของผู้บรรยายและผู้จัดรายการ
เราควรเข้าใจว่า ผู้จัดรายการบรรยายหรืออภิปรายต้องอุทิศเวลา ลงทุนลงแรง
ใช้ความอุตสาหะมิใช่น้อยกว่าที่จะจัดกิจกรรมเช่นนั้นๆได้
และผู้บรรยายหรืออภิปรายก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูล
ข้อความรู้มาก่อนเป็นระยะเวลานาน
ต้องเสียสละเวลาอันมีค่าไปบรรยายหรืออภิปรายเพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
บันทึกเรื่องที่ได้ยินได้ฟังไว้เสมอ
การบันทึกสิ่งที่ได้ฟังไม่ควรจำกัดว่าจะบันทึกเฉพาะการฟังที่มีความสำคัญมากๆเท่านั้น
การได้ฟังข้อสังเกต ข้อคิดเห็นของบุคคลทั่วๆไปที่เราติดต่อเกี่ยวข้องด้วย
หากมีสิ่งที่สะดุดใจชวนให้คิด แม้บุคคลผู้นั้นไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียง
หรือบุคคลสำคัญ เราก็ควรบันทึกไว้ ในการบันทึก
ควรระบุชื่อและสถานที่ทำงานของผู้พูดและกรณีแวดล้อมของการพูดครั้งนั้นๆไว้ด้วย
ในขณะที่บันทึก เราย่อมย้อมระลึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาบ้าง
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้ตรวจสอบว่า ผู้พูดได้ให้ข้อเท็จจริง ข้อมูล ตัวอย่าง ฯลฯ
พอเพียงหรือไม่รวมทั้งผู้พูดมีจุดประสงค์อย่างไรด้วย
ตัวอย่างเรื่องที่ควรฟัง
เรื่องที ๑
ข่าวทางวิทยุกระจายเสียง
ความก้าวหน้าโครงการผลิตแพทย์เพิ่ม
นายอาทิตย์
อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทว่า
จากปัญหาการขาดแคลนแพทย์ที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสถานการณ์ผลิตการใช้แพทย์และการกระจายแพทย์ยังคงเช่นเดิม
คาดว่า ๑๐ ปีข้างหน้า ก็ยังคงมีแพทย์ขาดแคลนเฉลี่ยกว่า ๔-๖ พันคน
นายอาทิตย์
อุไรรัตน์ กล่าวต่อว่า
ปัญหาความขาดแคลนดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระยะยาว ดังนั้น
ในขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการทำโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทขึ้น
โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการร่วมการระหว่างมหาวิทยาลัยและกระทรวงสาธารณสุข
มีระยะเวลาดำเนินการที่แน่นอน คือ ๑๖ ปี สามารถรับนักศึกษาแพทย์ด้วยระบบการคัดเลือกพิเศษจากนักเรียนในส่วนภูมิภาคโดยตรง
เมื่อจบแล้วกลับไปทำงานในภูมิลำเนาเดิมเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการกระจายแพทย์ควบคู่ไปกับการเพิ่มแพทย์
โครงการนี้สามารถปรับลด เพิ่มหรือยุติโครงการได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
แต่ต้องมีแพทย์เพิ่มตามจำนวนที่เปลี่ยนแปลง ผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาบัตรจากคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ
ทางด้านนายแพทย์อำพล
จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาคนด้านสาธารณสุข
ชี้แจงเพิ่มเติมด้านความคืบหน้าอีกว่า
ได้มีการประชุมหารือกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ที่เกี่ยวข้องจำนวน ๑๖ แห่ง
แล้วสรุปประเด็นหลักว่าจะมีการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิกขึ้นในโรงพยาบาลศูนย์
และตั้งคณะกรรมการขึ้น ๓ ชุด คือ ชุดแรก
คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท
ชุดที่สองเป็นคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบแพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิกและพัฒนาอาจารย์
และชุดที่สามคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก
นอกจากนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข
จะมีการนำเสนอร่างโครงการที่ปรับปรุง
และหารือกับทางมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๗ นี้
เพื่อจะหาข้อสรุปและข้อแนะนำจากหน่วยงานอื่น
โดยจะมีคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
คาดว่าหลักสูตรนี้จะเปิดรับนักศึกษาแพทย์ได้แน่นอนในปี ๒๕๓๘
อนึ่ง
ในเรื่องคุณภาพที่จะใช้ผลิตแพทย์ทั้งหมดจะต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกับทบวง
โดยมีแพทยสภาพิจารณารองรับและอนุมัติหลักการตามที่คณะแพทย์ต่างๆเสนอ
(จากเรื่อง
“ความก้าวหน้าโครงการผลิตแพทย์เพิ่ม”
ข่าวเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๗)
เรื่องที่ ๒
บทความทางวิทยุกระจายเสียง
โทษของยากระตุ้นประสาทและยาหลอนประสาท
พูดถึงยาเสพติด ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม
ล้วนแต่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ทั้งสิ้น
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ติดยาเสพติด ซึ่งยาเสพติดนั้นไม่ใช่มีแต่เฉพาะฝิ่น
เฮโรอีน และกัญชาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงยากระตุ้นประสาทและยาหลอนประสาทด้วย
ยากระตุ้นประสาท หมายถึง
ยาหรือสารที่มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาที่ไปกระตุ้นต่อประสาทส่วนกลางโดยตรง
จึงทำให้ผู้ที่รับประทานหรือเสพสารนี้เข้าไปมีอาการตื่นเต้นและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
หายง่วง ตาแข็ง คล้ายกับเป็นยาเพิ่มกำลังทำให้ขยัน จึงทำให้ยาเหล่านี้แพร่หลายในหมู่ผู้มีอาชีพกลางคืน
เช่น หญิงบริการคนขับรถบรรทุก เป็นต้น และยากระตุ้นประสาทที่ผลิตออกมาจำหน่ายนั้นก็มีมากมายหลายชื่อ
แต่ที่รู้จักและใช้กันมากในประเทศไทย คือ แอมเฟตามีน (amphetamine) คาเฟอีน (caffeine) โคคาอีน (cocaine) และใบกระท่อม แต่ในท้องตลาดเมืองไทยที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ
แอมเฟตามีนหรือเรียกตามภาษาท้องตลาดว่า ยาม้า หรือ ยาขยัน
ซึ่งมีจำหน่ายทั้งชนิดเม็ดและแคปซูล
และผู้ที่เสพยาชนิดดังกล่าวนี้ก็ได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นมามากแล้วดังจะเห็นอยู่บ่อยๆ
จากข่าวหนังสือพิมพ์รายวัน
โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถบรรทุกที่ได้เสพยาม้าเข้าไปมักจะขับรถด้วยความคึกคะนองจนเกิดอุบัติเหตุต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้เสพเสพเองและผู้อื่น
ยากระตุ้นประสาทนี้หลังจากใช้แล้วจะทำให้ร่างกายถูกฝืนให้ทำงานหนักตรากตรำติดต่อกันจนเหน็ดเหนื่อย
ดังนั้นเมื่อใช้ยานี้ติดต่อกันนานๆจะเกิดอันตราย คือทำให้สุขภาพทรุดโทรม
มีความเสื่อมทางจิตใจเศร้าหมอง หงุดหงิด บางรายถึงเพ้อคลั่งขนาดทำร้ายตัวเองก็มี
ส่วนยาหลอนประสาท (hallucinogens) นั้น ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๒๒
ได้จัดสารพวกฮาลูซิโนเจนไว้เป็นพวกที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลางเหมือนกับยาจำพวกแอมเฟตามีน
และ โคเคอีน แต่การกระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้การรับรู้ผิดปกติไปจากธรรมดา
มีอาการที่เรียกว่าประสาทหลอน (hallucination)
และทำให้เกิดประสาทลวง (illusion)
ผู้เสพติดยาชนิดนี้จะมีผลร้ายแรงทำให้เกิดเป็นโรคจิตได้ มีอาการประสาทหลอนทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังรวมตลอดถึงประสาทลวงทางใจ
ทำให้เกิดอารมณ์ในลักษณะเคลิ้มฝัน ตื่นเต้นหวาดเสียว
เพราะประสาทของการรับรู้ทำงานผิดปกติไป ยาที่ใช้แพร่หลาย ได้แก่ แอลเอสดี เมสคาลีน
ดีเอ็มที และเอสทีพี
แต่โดยเฉพาะยาแอลเอสดีนั้นเมื่อเสพเข้าไปแล้วผู้เสพจะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวได้ง่าย
ทำให้ประสาทรับความรู้สึกแปรปรวน เขาจะเห็นแสงสีสดใสกว่าเดิม
และมองเห็นว่าตัวเขาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง
ลักษณะพิเศษของยาชนิดนี้อีกประการหนึ่งก็คือ จะมีความรู้สึกสองอย่างในเวลาเดียวกัน
เช่น ดีใจกับเสียใจ สุขกับทุกข์ ฤทธิ์ของยาจะทำให้ไม่สามารถควบคุมสติได้จนกว่าจะหมดฤทธิ์ยาไป
ผู้ติดยาชนิดนี้หากติดยาเรื้อรังจะรักษาให้หายขาดได้ยาก
ผลที่สุดจะกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ เป็นโรคจิตทรามและอาจถึงฆ่าตัวตายในที่สุด
ดังนั้น
หากผู้ใดคิดจะเสพยาเสพติดไม่ว่าจะเป็นประเภทยากระตุ้นประสาทหรือยาหลอนประสาทก็ควรตระหนักถึงโทษของยาเหล่านี้ไว้บ้าง
เพราะไม่เพียงจะทำให้ต้องเสียเงินเสียทรัพย์สิน
แต่ยังทำให้ต้องเสียสุขภาพอันยากแก่การรักษาอีกด้วย
(จากเรื่อง
“โทษของยากระตุ้นประสาทและยาหลอนประสาท” ในรายการ สารคดี ๕ นาที
เผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๘ จุรีย์
ลิกขะไชย เรียบเรียง)
๒.แบ่งนักเรียนเป็น
๔ กลุ่ม ๒ กลุ่มแรกฟังรายงานข่าวทางวิทยุกระจายเสียง อีก ๒ กลุ่ม
ฟังรายการข่าวทางวิทยุโทรทัศน์ ในการฟังนั้น
ให้ปฏิบัติตามแนวที่ให้ไว้ในหัวข้อฝึกฟังให้สัมฤทธิ์ผล แล้วนำมารายงานในชั้นเรียน
มารยาทในการฟัง
ในการฟังให้สัมฤทธิ์ผลนั้น
เราต้องคำนึงถึงมารยาทในสังคมด้วย ยิ่งเป็นการฟังในที่สาธารณะ
มารยาทในการฟังยิ่งสำคัญมากขึ้น
เพราะมารยาทเป็นเครื่องกำกับพฤติกรรมของคนในสังคมให้เรียบร้อยงดงาม
อันแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่เจริญแล้ว
เนื่องจากการฟังในโอกาสต่างๆ
เป็นพฤติกรรมทางสังคม ยกเว้นการฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกซึ่งผู้ฟังฟังอยู่โดยลำพัง
ผู้ฟังจึงจำเป็นต้องรักษามารยาท เพื่อมิให้เป็นการรบกวนสมาธิของผู้ฟังคนอื่นๆ
รวมทั้งสมาธิของผู้ที่กำลังพูดให้ฟังอยู่นั้นด้วย
นอกจากนี้การรักษามารยาทในขณะที่ฟังยังเป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะของผู้ฟังที่มีต่อผู้พูดและต่อสถานที่อีกด้วย
มารยาทเช่นนี้ คือเครื่องหมายของความเป็นผู้มีวัฒนธรรมดีงาม
ต่อไปนี้จะได้ชี้ให้เห็นถึงมารยาทที่เราควรรักษาไว้เสมอตามโอกาสต่างๆ
การฟังเฉพาะหน้าผู้ใหญ่
เมื่อฟังเฉพาะหน้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะอยู่แต่ลำพังหรือมีผู้อื่นอยู่ด้วยก็ตาม
ผู้ฟังพึงสำรวมกิริยาอาการ สบตากับผู้พูดเป็นระยะๆให้พอเหมาะ แต่ไม่ถึงกับจ้องหน้า
ไม่ชิงพูดก่อนผู้สนทนาพูดจบความ ถ้าฟังไม่เข้าใจ ควรถามเมื่อผู้พูดพูดจบกระแสความ
การฟังในที่ประชุม
ในที่ประชุม
ขณะที่ประธานหรือผู้ร่วมประชุมคนอื่นพูด จำเป็นต้องตั้งใจฟัง อาจจดความสำคัญไว้
ไม่ควรพูดกระซิบกับคนที่อยู่ข้างเคียง ไม่ทำกิจธุระส่วนตัวอย่างอื่น
ไม่ควรพูดแซงขึ้น ต้องฟังจนจบแล้วจึงให้สัญญาณขออนุญาตพูด เช่น ยกมือขึ้น
การฟังในที่สาธารณะ
การฟังในที่สาธารณะ
เช่น ในโรงภาพยนตร์หรือโรงละคร หรือในที่ชุมนุมชนไม่ควรกระทำการใดๆ
ที่ก่อความรำคาญให้แก่บุคคลที่ชมหรือฟังร่วมอยู่ด้วย ข้อควรระวังคือ
๑.รักษาความสงบ
ไม่พูดคุย ไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่กำลังดูหรือฟังอยู่ การพูดแม้จะค่อย
แต่ถ้าหลายคนพูดติดต่อกันก็จะเกิดเสียงที่ก่อความรำคาญได้ ไม่ทำเสียงดังอื่นๆ เช่น
แก้ห่อของ รับประทานของขบเคี้ยว ไม่นำเด็กเล็กเข้าไปดูหรือฟังด้วย
เพราะอาจส่งเสียงรบกวนผู้อื่นด้วยความไร้เดียงสา
๒.ไม่นำอาหารหรือวัตถุที่มีกลิ่นแรง
หรือที่น่ารังเกียจเข้าไปในสถานที่นั้น
๓.ไม่เดินเข้าออกบ่อยๆ
ถ้าจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น ควรเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ริมหรือใกล้ประตูทางเดิน
๔.ไม่ควรแสดงกิริยาอาการที่ไม่สมควรระหว่างเพื่อนต่างเพศในโรงมหรสพเพราะการแสดงเช่นนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล
ไม่ควรแสดงในที่สาธารณะ มีผู้เข้าใจผิดว่าในวัฒนธรรมตะวันตกนิยมทำกันเป็นธรรมดา
แท้จริงชาวตะวันตกที่มีการอบรมดีก็ไม่ยกย่อง เพียงแต่ไม่หยิบยกมาเป็นข้อตำหนิและอดทนได้เท่านั้น
อ้างอิง : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ.(๒๕๕๐).หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วรรณสารศึกษา เล่ม ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔
ช่วงชั้นที่๔ (ม.๔-ม.๖) ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔.กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น